นัดชิงถ้วยการกุศล คอมมิวนิตี้ ชิลด์ 2025 ที่สนามเวมบลีย์ คริสตัล พาเลซ พบ ลิเวอร์พูล พร้อมพรีวิวข้อมูลล่าสุด ความพร้อม สถิติ และคาดการณ์ผลการแข่งขัน
คริสตัล พาเลซ ภายใต้การคุมทีมของ โอลิเวอร์ กลาสเนอร์ เข้าชิงชนะเลิศคอมมิวนิตี้ ชิลด์ จากการเป็นแชมป์เอฟเอคัพครั้งแรกของสโมสร สภาพทีมมี เอเบเรชี่ เอเซ, ฌ็อง-ฟิลิปป์ มาแตต้า และแดเนียล มูโญซ พร้อมลงสนาม แต่ขาด เชอิก ดูกูเร่ และเอ็ดดี้ เอ็นเคเทียห์ จากอาการบาดเจ็บ ส่วน ลิเวอร์พูล ของ อาร์เน่ สล็อต แชมป์พรีเมียร์ลีกปีล่าสุด เสริมทัพด้วย ฟลอเรียน วีร์ทซ์, ฮูโก้ เอกีติเก้, เยเรมี่ ฟริมปง, มิลอส เคอร์เคซ และจอร์จี้ มามาร์ดาชวิลี่ โดยยังคงมี โมฮาเหม็ด ซาลาห์ และเวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค เป็นกำลังหลัก อลิสสัน เบ็คเกอร์ ฟิตพอที่จะลงสนามแต่ยังไม่เต็มร้อย แมตช์นี้ถือเป็นการปะทะกันของทีมที่มีจุดเด่นแตกต่างกัน พาเลซเน้นเกมรัดกุมและสวนกลับรวดเร็ว ขณะที่ลิเวอร์พูลเน้นเพรสซิ่งและโจมตีอย่างดุดัน
คริสตัล พาเลซ แม้ไม่ได้ผ่านเกมอุ่นเครื่องมากมาย แต่ทำผลงานได้น่าสนใจ โดยเฉพาะเกมรับ-รุกสมดุล ขณะที่ ลิเวอร์พูล ปิดปรีซีซั่นด้วยฟอร์มร้อนแรงจากชัยชนะเหนือแอธเลติก บิลเบา และการผสมผสานผู้เล่นหน้าเก่าหน้าใหม่ที่ลงตัว
พาเลซยังต้องรอสภาพฟิตของ ดูกูเร่ และเอ็นเคเทียห์ เกมนี้อาจใช้ มาแตต้า ยืนค้ำ พร้อมมูโญซ และเอเซเติมเกมด้านข้าง ส่วนลิเวอร์พูล ชุดใหม่พร้อมเปรี้ยงขึ้นได้ทันที แต่ขาดความลึกแนวรับหากมีบาดเจ็บตามมา
ภาพรวมจะใช้ระบบ 3-4-2-1 เน้นเกมรุกผ่านช่องกลางและริมเส้น โดยมี เอเซ และ Sarr ขนาบข้าง มาแตต้า ซึ่งถ้าตั้งรับได้ดี อาจสร้างจังหวะสวนกลับที่น่ากลัว
ลิเวอร์พูลมีตัวเลือก 4-3-3 พร้อมแดนกลางมี กราเวนเบิร์ช, โชโบสไล, และ วีร์ทซ์ แทรกเกม สลับกับการใช้พื้นที่จากปีก เช่น ซาลาห์และเอกีติเก้ ในการลากเข้ากรอบ ซึ่งจังหวะเพรสซิ่งจะเป็นกุญแจชี้ชะตา
พาเลซหวังรักษารีโมเมนต์ประวัติศาสตร์จากการคว้าเอฟเอคัพ ส่วนลิเวอร์พูลต้องการแชมป์แรกของซีซั่นเพื่อยืนยันความยิ่งใหญ่และเริ่มต้นฤดูกาลใหม่ด้วยโมเมนตัมบวก
เกมนี้อาจขึ้นอยู่กับว่าใครคว้า “บอลสอง” ได้มากกว่ากัน หากพาเลซเก็บบอลสองได้ต่อเนื่อง อาจชนะหัวใจเกมรุกของลิเวอร์พูล แต่ถ้าหงส์แดงครองจังหวะได้ตั้งแต่แรก ด้านพาเลซต้องรับและรอโอกาสโต้หลายจังหวะเพื่อเจาะแนวรับ
ทั้งสองทีมมีจุดแข็งต่างกัน โดยพาเลซเน้นเกมรัดกุมและอาศัยการสวนกลับ ส่วนลิเวอร์พูลมาแบบกองทัพใหม่พร้อมบุก กุญแจสำคัญอยู่ที่การรักษาโครงสร้างเกมกับความเฉียบขาดในจังหวะเข้าทำ ฝั่งใดบริหารการเปลี่ยนเกมได้ดีกว่า จะมีโอกาสคว้าแชมป์คอมมิวนิตี้ ชิลด์ครั้งนี้
ในห้าฤดูกาลหลัง ลิเวอร์พูลเหนือกว่าชัดเจน ชนะได้ถึง 9 นัด เสมอ 1 และพาเลซไม่เคยชนะ เกมส่วนใหญ่ลิเวอร์พูลครองบอลมากกว่าและสร้างโอกาสยิงได้มากกว่า เฉลี่ย 15 ครั้งต่อนัด พาเลซมักทำได้ดีในเกมรับช่วงครึ่งแรก แต่พอครึ่งหลังจะเสียประตูจากความกดดันต่อเนื่อง สถิติชี้ว่าลิเวอร์พูลยิงได้รวม 27 ประตูจาก 10 เกมหลังสุดที่พบกัน ขณะที่พาเลซยิงได้เพียง 5 ประตู
ฝั่งพาเลซหวังพึ่ง เอเบเรชี่ เอเซ ในการสร้างสรรค์เกมรุก และ มาแตต้า ในการจบสกอร์ ส่วนลิเวอร์พูลยังคงฝากความหวังไว้ที่ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ และ ฟลอเรียน วีร์ทซ์ ที่เพิ่งย้ายมาเติมมิติการบุกในแดนกลาง เยเรมี่ ฟริมปง อาจเป็นทีเด็ดในการขึ้นเกมทางริมเส้นและตัดสินเกมด้วยความเร็ว
ลิเวอร์พูลมีโอกาสชนะราว 65% จากฟอร์มและคุณภาพนักเตะ พาเลซมีโอกาสพลิกชนะเพียง 20% และเสมอ 15% เกมอาจเปิดแลกกันในครึ่งหลังหากสกอร์ตึง
คาดว่าลิเวอร์พูลจะเอาชนะได้ 2-1 จากความเฉียบขาดในแนวรุกและประสบการณ์ในเกมใหญ่